วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Lesson 6


บันทึกอนุทิน

วิชา การบริหารสถานศึกษาปฐมวัย (Pre-School Administration)
อาจารย์ผู้สอน : อาจารย์กฤตธ์ตฤณน์ ตุ๊หมาด
ประจำวันที่ :  15  กุมภาพันธ์ 2560
เรียนครั้งที่ 6  เวลา 12:30-15:30 น.
กลุ่ม 102  ห้องเรียน 34-501



Knowledge (ความรู้)
นำเสนอคำคม

เลขที่ 10 นางสาวนิศากร  อ่อนประทุม



" ภาวะผู้นำ ไม่ใช่เพียงแต่ทำสิ่งที่ถูกต้อง เมื่ออยู่ต่อหน้ากล้องเท่านั้น
แต่....หมายถึง การทำสิ่งที่ถูกต้องด้วยตนเอง และทำไปเพราะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง"




เลขที่ 10 นางสาวกฤษณี    แก้วแกมทอง



" เลือกงานที่คุณรัก แล้วชีวิตนี้คุณจะไม่ต้องทำงานเลยสักวัน"







โครงสร้างขององค์กรและการจัดระบบบริหารงาน
สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย


การบริหารงานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย

การบริหารสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย มีลักษณะการบริหารเฉพาะตัว โดยที่ต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้
1. นโยบาย และยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศของรัฐบาล
2. แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ
3. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
4. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
5. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
6. ปรัชญา นโยบายและวัตถุประสงค์ของสถานศึกษา
7. ความต้องการของชุมชน

การจัดประเภท และรูปแบบสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในประเทศไทย

1. การจัดแบ่งตามโครงสร้างการบริหารตามขนาด แบ่งเป็น 3 ขนาด คือ
1) โครงสร้างบริหารสถานศึกษาปฐมวัยขนาดเล็ก
2) โครงสร้างบริหารสถานศึกษาปฐมวัยขนาดกลาง
3) โครงสร้างบริหารสถานศึกษาปฐมวัยขนาดใหญ่









2. การแบ่งตามรูปแบบตามพระราชบัญญัติการศึกษาชาติ
(พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2 )พ.ศ. 2545 กล่าวไว้ใน มาตรา 15กำหนดการจัดการศึกษา มี 3 รูปแบบ คือ)
1.รูปแบบในระบบโรงเรียน
2.รูปแบบนอกระบบโรงเรียน
3.รูปแบบตามอัธยาศัย

3. รูปแบบการให้บริการแบบใหม่
คือ การรวมเด็กที่ผิดปกติและเด็กปกติไว้ด้วยกัน โดยเรียกแบบนี้ว่า “Normalization”




หลักในการบริหารงานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย

1. การบริหารงานวิชาการ
เป็นการบริหารกิจกรรมทุกชนิดในโรงเรียน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงพัฒนาการสอนผู้เรียนให้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพที่สุด

2. การบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาปฐมวัย
คือ การปฏิบัติการใช้คนให้ทำงาน อย่างมีประสิทธิภาพโดยมีขบวนการต่าง ๆ

3. การบริหารงานธุรการและการเงินในสถานศึกษาปฐมวัย
- งานธุรการในสถานศึกษา
- งานการเงินในสถานศึกษาปฐมวัย
- งานสารบรรณในสถานศึกษาปฐมวัย
- งานทะเบียนและรายงาน
- งานรักษาความปลอดภัย
- งานการเงินและพัสดุ
- งานพัสดุ

4. การบริหารงานกิจการนักเรียนในสถานศึกษาปฐมวัย  
คือ การดำเนินงาน เพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมในโรงเรียนโดยนักเรียนสมัครใจร่วมกิจกรรมเพื่อพัฒนาตนเอง

5. การบริหารสภาพแวดล้อมในสถานศึกษาปฐมวัย
           - การบริหารสภาพแวดล้อมทางกายภาพ
           - การบริหารสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการจัดกิจกรรมและประสบการณ์

การบริหารสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในยุคปฏิรูป

ความหมาย การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน
(School Based Management)

คือ การบริหารโดยกระจายอำนาจทางการศึกษาไปยังสถานศึกษาโดยตรงให้มีอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบและความคล่องตัวในการบริหารจัดการมากที่สุด

หลักการในการบริหารแบบโรงเรียนเป็นฐาน(School Based Management)

        • หลักการกระจายอำนาจ (Decentralization)
• หลักการมีส่วนร่วม (Participation or Collaboration Involvement)
• หลักการคืนอำนาจจัดการศึกษาให้ประชาชน( Return Power to People)
• หลักการบริหารตนเอง (Self - managing)
• หลักการตรวจสอบและถ่วงดุล (Check and Balance)

รูปแบบโรงเรียนที่ใช้การบริหารแบบโรงเรียนเป็นฐาน
        • ผู้บริหารโรงเรียนเป็นหลัก(Administrative Control School Council )
        • บริหารโดยครูเป็นหลัก(Professional Control Council)
        • การบริหารจัดการโดยชุมชนมีบทบาท(Community Control School Council)
        • ครูและชุมชนมีบทบาทหลัก (Professional Community Control School Council)

สรุปการบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน ( School-Based Management )
       
        การบริหารโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Management)เป็นการถ่ายโอนอำนาจจากหน่วยงานไปให้แก่โรงเรียนได้บริหารแบบเบ็ดเสร็จที่โรงเรียนโดยมอบอำนาจการบริหารและจัดการศึกษาให้แก่คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานซึ่งประกอบด้วยผู้ปกครอง     

องค์กรแห่งการเรียนรู้

         ศาสตร์ทั้ง 5 ขององค์กรแห่งการเรียนรู้ (ปีเตอร์ เอ็ม. เซงเก (Peter M. Senge) )
การใฝ่ใจพัฒนาตน (Personal Mastery)
         • รูปแบบของความคิด (Mental Models)
         • วิสัยทัศน์ร่วม (Shared Vision)
         • การเรียนรู้เป็นทีม (Team Learning)
         • การคิดเชิงระบบ (System Thinking)




การบริหารแบบมีส่วนร่วม
        สาระสำคัญของการบริหารแบบมีส่วนร่วม
        • การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น
• การมีส่วนร่วมช่วยให้เกิดการยอมรับในเป้าหมาย
• การมีส่วนร่วมช่วยให้เกิดความสำนึกในหน้าที่ความรับผิดชอบ

ผลดีของการบริหารแบบมีส่วนร่วม

        • สร้างสรรค์ให้มีการระดมกำลังจากบุคคลต่าง ๆ
        • สร้างบรรยากาศและพัฒนาประชาธิปไตยในการทำงาน
        • ช่วยให้ลดความขัดแย้งระหว่างผู้บริหารกับผู้ปฏิบัติงาน
        • การบริหารแบบมีส่วนร่วม
        • ผลงานที่เกิดขึ้น
        • สร้างความสมดุลระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายปฏิบัติ

ข้อจำกัดของการบริหารแบบมีส่วนร่วม

        • การแสดงความคิดเห็นเกิดข้อขัดแย้งกับฝ่ายบริหาร
        • ก่อให้เกิดกลุ่มอิทธิพล
        • ผู้บริหารกลัวสูญเสียอำนาจ
        • การบริหารงานไม่สามารถใช้กับงานที่เร่งด่วนได้
        • ใช้งบประมาณมาก
        • ความคิดเห็นจากบุคคลภายนอกไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควร
        • การไม่เข้าใจหน้าที่มักจะทำให้เกิดการก้าวก่ายหน้าที่ซึ่งกันและกัน


นำเสนอคุณสมบัติของผู้นำยุคใหม่

“JANJIRA”


J คือ Judgment“ยุติธรรม”

A คือ Adjust “แก้ไขปรับปรุง”

N คือ Negotiation “เจรจาต่อรอง”       

J คือ Job analysis “การวิเคราะห์งาน”

I คือ Innovation leader “ผู้นำนวัตกรรม” 

R คือ Reliability “มีเหตุผล”

A คือ Appearance “ดูดีมีสง่า”



Skill (ทักษะ)

- การคิดวิเคราะห์
- การตอบคำถาม


Application  (การประยุกต์ใช้)
               
          นำความรู้ที่ได้ไปใช้ในการบริหารงานในโรงเรียน และนำความรู้ใหม่ๆไปพัฒนาโรงเรียนให้เป็นโรงเรียนที่ดีมีมาตรฐาน และมีคุณภาพ

Technical Education (เทคนิคการสอน)

- เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
- ใช้คำถามในการกระตุ้นผู้เรียน
- เทคนิคการใช้คำถาม

Evaluation (การประเมิน)  

Self: เข้าเรียนตรงต่อเวลา แต่งกายเรียบร้อย ตั้งใจเรียน แต่มีบางครั้งที่ง่วงนอน
Friend : ตั้งใจเรียน ช่วยกันตอบคำถาม แต่เพื่อนบางคนคุยกันเสียงดัง
Teacher : เข้าสอนตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อย เวลาสอนก็จะสอนแบบละเอียด คอยกระตุ้นให้นักศึกษากระตือรือล้นในการเรียน และใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวล สูง ต่ำ ตามจังหวะของการสอน แต่น่าจะกิจกรรมให้ทำระหว่างการเรียนการสอนเพื่อให้นักศึกษาตื่นตัวกับการเรียนมากยิ่งขึ้น




Lesson 5


บันทึกอนุทิน

วิชา การบริหารสถานศึกษาปฐมวัย (Pre-School Administration)
อาจารย์ผู้สอน : อาจารย์กฤตธ์ตฤณน์ ตุ๊หมาด
ประจำวันที่ :  8  กุมภาพันธ์ 2560
เรียนครั้งที่ 5  เวลา 12:30-15:30 น.
กลุ่ม 102  ห้องเรียน 34-501


ไม่มีการเรียนการสอน เนื่องจากเข้าอบรม

"โครงการอบให้ความรู้และประกวด
มารยาททางวัฒนธรรม"

ณ ห้องประชุมชั้น 5 อาคารนวัตกรรมการศึกษา



วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Lesson 4

บันทึกอนุทิน


วิชา การบริหารสถานศึกษาปฐมวัย (Pre-School Administration)
อาจารย์ผู้สอน : อาจารย์กฤตธ์ตฤณน์ ตุ๊หมาด
ประจำวันที่ :  1  กุมภาพันธ์ 2560
เรียนครั้งที่ 4  เวลา 12:30-15:30 น.
กลุ่ม 102  ห้องเรียน 34-501


Knowledge (ความรู้)

นำเสนอคำคม

เลขที่ 4 นางสาววีรดา ตรีมิ่งมิตร



หนทางเดียวที่คุณจะสามารถทำงานให้ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
นั่นคือ "คุณต้องรักในสิ่งที่คุณทำ"




เลขที่ 7  นางสาวภูษณิศา  กาบเครือ

ผู้อยู่รอด    คือ  ผู้ที่รู้จักปรับตัว  เข้าหาสิ่งแวดล้อม 
ไม่ใช่ปรับสภาพแวดล้อม ไปตามความต้องการที่ไม่สิ้นสุด






เลขที่ 8 นางสาวภณิชชา  กาบเครือ


"ช่างที่อยากทำงานให้ดี จะต้องเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือที่ดี"






เลขที่ 9 นางสาวธนทร  ศรีหินกอง


"ถ้าไม่ลงมือทำ อะไรก็เป็นไปไม่ได้"




นำเสนองานกลุ่ม ประเภทสถานศึกษาปฐมวัย


กลุ่มที่ 1 โรงเรียนอนุบาล



โรงเรียนอนุบาลคือ

             โรงเรียนที่เปิดสอนในระดับอนุบาล ซึ่งอาจจะเป็นโรงเรียนของเอกชนหรือของรัฐก็ได้ บางโรงเรียนอาจเปิดสอนระดับประถมศึกษาร่วมด้วย หรืออาจจะสอนถึงระดับมัธยมศึกษาก็ได้

เกณฑ์การรับเด็กเข้าเรียนโรงเรียนอนุบาล

             มาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ และกฎกระทรวงว่าด้วยการแบ่งระดับและประเภทของการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.๒๕๔๖ ข้อ ๑ (๑) สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงได้กาหนดหลักเกณฑ์และวิธีการนับอายุเด็กเพื่อเข้ารับการศึกษา ระดับก่อนประถมศึกษาในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไว้ดังต่อไปนี้
     
             ข้อ 1 การรับเด็กเพื่อเข้ารับการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษาในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้รับเด็กที่มีอายุไม่น้อยกว่า ๔ ปีบริบูรณ์

             ข้อ 2 การนับอายุเด็กเพื่อเข้ารับการศึกษาระดับก่อนประถมศึกษาในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้นับตั้งแต่วันที่เด็กเกิดไปจนถึงวันแรกของการเปิดภาคเรียนที่ ๑ ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยปีการศึกษา การเปิดและปิดสถานศึกษา พ.ศ. ๒๕๓๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๓

ตัวอย่างโรงเรียน

โรงเรียนอนุบาลสามเสน
หลักสูตร

            โรงเรียนอนุบาลสามเสนมีหลักสูตรที่สอดคล้องกับปรัชญา หลักการ และเป้าหมายเหมาะสมกับเด็กและท้องถิ่น  มีแผน คณะกรรมการ ดำเนินการตามแผน สรุปและรายงานการประเมินผล  เพื่อปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรของโรงเรียนให้ทันสมัยอยู่เสมอ













กลุ่มที่ 2 ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนเกณฑ์ของสถาบันศาสนา







กลุ่มที่  3 เนอสเซอรี่



เนอสเซอรี่ คืออะไร?
             เนอร์สเซอรี่ เป็นคำทับศัพท์มาจากคำภาษาอังกฤษว่า NURSERY สามารถเขียนเป็นภาษาไทยได้หลายแบบ เช่น เนอร์สเซอรี่   เนอสเซอรี่   เนิสเซอรี่  ซึ่งคำว่า NURSERY ใน
ภาษาอังกฤษมีความหมายหนึ่งว่า Baby’s Room (ห้องเลี้ยงเด็ก)   แต่เรานำมาใช้กับ สถานที่รับเลี้ยงดูเด็กเล็กก่อนวัยอนุบาล ซึ่งเราสามารถเรียกว่าเป็น “สถานรับเลี้ยงเด็ก”  โดยส่วนใหญ่จะรับเลี้ยงดูเด็กเล็กอายุแรกเกิดถึง 3 ขวบ แต่บางแห่งอาจรับเฉพาะในระดับ 2-3 ขวบ คือระดับ “เตรียมอนุบาล” และบางแห่งอาจรับดูแลเด็กอายุแรกเกิดถึง 6 ขวบ (เตรียมประถม)ได้เลย

ตัวอย่างเนอสเซอรี่



คำขวัญ
  เพาะบ่ม คุณธรรม เรียนรู้ด้วยความสุข ปลูกสติปัญญา

ประวัติความเป็นมา
  สถานรับเลี้ยงเด็กรพีพรเนอสเซอรี่จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ 2547ซึ่งดำเนินการโดยคุณครูรพีพรและทีมงานมืออาชีพประสบการณ์ตรงไม่ต่ำกว่า20 ปีจุดมุ่งหมายพัฒนาเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยเรียนให้มีคุณภาพทุกด้าน สร้างความรัก ความอบอุ่น ความไว้ใจให้กับผู้ปกครอง เน้นคุณภาพโภชนาการและความสะอาด อบรมสั่งสอนเรื่องคุณธรรม จริยธรรม วัฒนธรรมไทย การช่วยเหลือตนเองให้มีชีวิตอยู่ได้ในสังคม นำนวัตกรรมใหม่ๆมาให้เด็กได้เรื่องรู้ ตั้งแต่ยังเล็กทำอย่างเสมอสม่ำเพื่อให้เด็กไทยในอนาคตมีคุณภาพ

หลักสูตรและแนวการสอน
  แบบบูรณาการมุ่งเน้นพัฒนาเด็กให้เป็นคนดี มีสติปัญญา พัฒนาตนเองให้อยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุขสอดคล้องกับสถาพการเปลื่ยนแปลงของสังคม เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่นทางเนอสเซอรี่มุ่งเน้นความรักความเอาใจใส่บุตร หลานของผู้ปกครองทุกท่าน ดังคติประจำเนอสเซอรี่คือ เราจะดูแลดวงใจของท่าน ด้วยหัวใจของเราและที่สำคัญทางเนอสเซอรี่มีการส่งเสริมให้เด็กรักการอ่านโดยมีหนังสือนิทานกลับไปให้ผู้ปกครองเล่าให้เด็กฟัง 

สถานที่ / สภาพแวดล้อม /อาคารเรียน
  สถานที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากตัวเมืองมีทางเข้าได้หลายทางดังแผนที่ สภาพแวดล้อมร่มรื่น ปลอดภัยมีระบบกล้องวงจรปิดติดต่อทุกส่วนและที่สำคัญคือความสะอาดของใช้มีการแยกส่วนชัดเจนทั้งของเล่นและของใช้ส่วนตัวมีการทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคทุกวันรวมทั้งห้องกิจกรรมทุกห้องของเล่นทำความสะอาดก่อนเก็บบรรจุใส่กล่องอย่างมิดชิดด้านอาคารเรียนมีห้องหลายห้องแยกส่วนตามการใช้งานแยกเด็กดูแลตามช่วงอายุมีการประเมินพัฒนาการก่อนปรับเปลี่ยนห้องดูแลโดยที่ปรึกษาทางพัฒนาการเด็กโดยตรงมีที่รับประทานอาหารโปร่งไม่แออัดห้องนอนมีเครื่องฟอกอากาศ 

กิจกรรมเสริมหลักสูตร
  ฝึกพูดภาษาไทยและอังกฤษ ฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กมีการฝึกเรียนว่ายน้ำ(สระส่วนตัวไม่ให้บุคคลภายนอกใช้บริการ) 


กลุ่มที่ 4 ศูนย์เลี้ยงเด็ก



ศูนย์เลี้ยงเด็ก

         การจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กในสถานประกอบกิจการและชุมชนภายใต้การบูรณาการความร่วมมือกับ 
5 กระทรวง ประกอบด้วย
        - กระทรวงแรงงาน
- กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
- กระทรวงมหาดไทย
- กระทรวงศึกษาธิการ
- กระทรวงสาธารณสุข
- กระทรวงแรงงาน

กระทรวงแรงงาน

กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
        1. ส่งเสริมการจัดสวัสดิการแรงงานทั้งในและนอกระบบแก่นายจ้าง ลูกจ้างในสถานประกอบ
กิจการ
        2. ส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กเพื่อผู้ใช้แรงงานในสถานประกอบกิจการและชุมชนเพื่อเป็น
สวัสดิการ ให้แก่ผู้ใช้แรงงานและครอบครัว
        3. ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการเรื่องศูนย์เลี้ยงเด็กในสถาน
ประกอบ กิจการและชุมชน

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ
1. การอนุญาตให้จัดตั้งสถานรับเลี้ยงเด็ก
2. การตรวจเยี่ยม ให้คำแนะนำ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีคุณภาพ
3. การสนับสนุนอาหารเสริมประเภทนม และสื่อพัฒนาการเด็กเพื่อให้เด็กได้รับการพัฒนา ด้าน ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและสติปัญญา
        4. การประชุม สัมมนา สำหรับเจ้าของหรือผู้ทำการของสถานรับเลี้ยงเด็ก เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ วิธีการพัฒนาเด็กปฐมวัยให้มีคุณภาพตลอดจนทราบถึงปัญหาอุปสรรคของการดำเนินงานและการแก้ไข เพื่อให้เด็กที่ได้รับบริการได้รับการพัฒนาเต็มตามศักยภาพของเด็กอย่างมีคุณค่า
5. การฝึกอบรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้แก่ผู้ปฎิบัติงานของสถานรับเลี้ยงเด็ก

กระทรวงมหาดไทย

กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
  1. ส่งเสริมและพัฒนาการดำเนินงานของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ตามบทบาทหน้าที่และภารกิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
2. ประสานความร่วมมือในการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในท้องถิ่นและชุมชน
        3. ศึกษาและพัฒนาประสิทธิภาพของรูปแบบวิธีการจัดการศึกษาในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก
        4. ส่งเสริม สนับสนุนการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินงานในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก
5. พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานในการจัดการศึกษาในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก
6. ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเพื่อให้บริการให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

กระทรวงศึกษาธิการ
        1. จัดทำนโยบายส่งเสริมการจัดการศึกษาปฐมวัยในสถานประกอบกิจการ
2. จัดทำมาตรฐานการเลี้ยงดูเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 ปี และมาตรฐานตัวบ่งชี้การพัฒนาคุณภาพเด็กในสถานรับเลี้ยงเด็ก
3. ส่งเสริม สนับสนุนด้านวิชาการ รูปแบบการพัฒนาเด็กปฐมวัย และการวิจัยรวมทั้งการมีส่วนร่วมในการพัฒนาครูพี่เลี้ยง
        4. ติดตาม ดูแลคุณภาพ และมาตรฐานการจัดการศึกษาปฐมวัย
5. ส่งเสริมการจัดการศึกษานอกโรงเรียนและการศึกษาต่อเนื่องในการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแก่นักศึกษา เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และประชาชนทั่วไป
6. สนับสนุนและมีส่วนร่วมในการปรับปรุง ซ่อมบำรุงศูนย์เลี้ยงเด็กในสถานประกอบกิจการ
ที่จดทะเบียนจัดตั้งโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ

กระทรวงสาธารณสุข

กรมอนามัย
        1. สนับสนุนองค์ความรู้ในการส่งเสริมสุขภาพด้านต่างๆ เช่น โภชนาการ สุขาภิบาล อาหารและน้ำ ทันตสาธารณสุข พัฒนาการเด็ก รวมถึงไอคิว (IQ) อีคิว (EQ) สุขภาพจิตและอนามัยสิ่งแวดล้อม
2. สนับสนุนองค์ความรู้ในการอบรมเพิ่มพูนศักยภาพให้กับผู้ดูแลเด็ก
3. ให้คำแนะนำส่งเสริมการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กให้ได้มาตรฐานศูนย์เด็กเล็กน่าอยู่ของกรม
อนามัย

การบริหารจัดการ

         1. จัดให้มีบุคลากรที่จำเป็นในการดำเนินงานรับเลี้ยงและพัฒนาเด็ก เช่น เจ้าของกิจการ ผู้ดำเนินการ พยาบาล สถานพยาบาล ผู้เลี้ยงดูเด็ก ผู้จัดกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ของเด็ก ผู้ประกอบอาหาร ผู้ทำความสะอาด เป็นต้น โดยเจ้าหน้าที่คนหนึ่งๆ อาจทำหน้าที่เกินกว่าหนึ่งประการได้แต่ต้องมีจำนวน ที่เหมาะสมกับจำนวนเด็ก หรืออาจใช้ลูกจ้างในสถานประกอบกิจการทำหน้าที่ได้ตามความเหมาะสม 
         2. คุณสมบัติของผู้เลี้ยงดูเด็กในศูนย์เลี้ยงเด็กในสถานประกอบกิจการและชุมชน
                       - ต้องมีอายุไม่น้อยกว่า 18 ปีบริบูรณ์
                       - มีสุขภาพแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจต้องผ่านการตรวจสุขภาพก่อนปฏิบัติงาน
                       - มีคุณวุฒิการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และต้องผ่านการฝึกอบรม เรื่องการ
อบรมเลี้ยงดูและพัฒนาเด็ก

         3. อัตราส่วนระหว่างผู้เลี้ยงดูเด็กกับเด็ก
                       - เด็กอายุแรกเกิด – 2 ปี อัตราส่วน 1:3
                       - เด็กอายุ 2 – 3 ปี อัตราส่วน 1:8
                       - เด็กอายุ 3 – 4 ปี อัตราส่วน 1:12
                       - เด็กอายุ 4 – 6 ปี อัตราส่วน 1:20
          4. การขออนุญาตจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กที่ให้บริการรับเลี้ยงเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี ที่มีเด็กจำนวน 6 คนขึ้นไป ต้องได้รับอนุญาตให้จัดตั้ง การขออนุญาตจัดตั้งให้ติดต่อขออนุญาตจัดตั้ง

ตัวอย่าง ศูนย์รับเลี้ยงเด็กและพัฒนาเด็กศิริราช


งานบริหารของศูนย์ฯ
        - การเลี้ยงดู เตรียมความพร้อมด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจสังคม และสติปัญญา ให้เด็กมีพัฒนาการที่เหมาะสมกับวัย และศักยภาพของเด็ก
- ตรวจประเมินการเจริญเติบโต รวมทั้ง พัฒนาการของเด็กอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ
- ให้คำแนะนำในด้านสุขภาพ การป้องกันโรค การดูแล และ แนวทางในการเลี้ยงดูบุตรแก่บิดา มารดา
        - ให้คำแนะนำแก่มารดาที่มีปัญหาเกี่ยวกับการให้นมบุตร การพัฒนาการและสุขภาพเด็ก โดยผู้เชี่ยวชาญจากคลินิกเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ คลินิกกระตุ้นพัฒนาการและกุมารแพทย์ของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
- บริการอาหารเช้า อาหารกลางวัน พร้อมอาหารว่างมื้อบ่าย โดยมีโภชนากร จากฝ่ายโภชนาการของโรงพยาบาลศิริราช เป็นผู้จัดเมนูอาหารร่วมกับพยาบาลและคณะกรรมการศูนย์ฯ

หลักเกณฑ์การรับเด็ก
        - รับเลี้ยงดูเด็กปกติตั้งแต่แรกเกิด ถึง 3 ปี
- เป็นบุตรบุคลากรภายในคณะแพทยศาสตร์
ศิริราชพยาบาล

อัตรากำลังพี่เลี้ยงเด็ก

        - เด็ก อายุต่ำกว่า 1  ปี  สัดส่วนพี่เลี้ยงเด็ก 1 คนต่อเด็ก 3 คน 
- เด็ก อายุ  2 – 3   ปี    สัดส่วนพี่เลี้ยงเด็ก 1 คนต่อเด็ก 5-7 คน

กิจกรรมประจำวัน




กลุ่มที่ 5 ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน


 ความหมายของศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน
                      
  • ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน หมายความว่า สถานที่รับเลี้ยงเด็กและดูแลเด็กก่อนวัยเรียน ซึ่งตั้งอยู่ในชุมชน และดำเนินงานในรูปของคณะกรรมการภายใต้การควบคุมดูแลของคณะกรรมการชุมชน
  • เด็กก่อนวัยเรียน หมายความว่า เด็กที่มีอายุตั้งแต่ 2 ปี แต่ไม่เกิน 6 ปี
  • อาสาสมัคร หมายความว่า บุคคลที่ปฏิบัติงานด้านการพัฒนาชุมชนในศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนกรุงเทพมหานครซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากผู้อำนวยการเขต
  •   ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนที่จัดตั้งขึ้นในชุมชนได้ดำเนินการภายใต้ภาวะข้อจำกัดหลายประการ เช่น งบประมาณ สถานที่คับแคบ อาสาสมัครผู้ดูแลเด็กขาดความรู้ความเข้าใจในการอบรมดูแลเด็ก แม้จะพบว่า มีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาสนับสนุนและมีส่วนร่วมในการดำเนินงานก็ตาม กรุงเทพมหานครก็มิได้นิ่งนอนใจ และพร้อมที่จะให้การสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนในชุมชน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 เป็นต้นมา
         ดังนั้น  ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนในชุมชนจึงเป็นสถานที่รับเลี้ยงและดูแลเด็กในชุมชนด้วยความคิดริเริ่มและความพร้อมของประชาชนในชุมชนนั้นๆ ภายใต้การควบคุมดูแลของคณะกรรมการชุมชนโดยมีอาสาสมัครผู้ดูแลเด็กเป็นกลไกสำคัญที่จะนำบริการทางสังคมไปสู่การพัฒนาเด็กตามหลักวิธีการทางจิตวิทยา เพื่อเด็กก่อนวัยเรียนในชุมชนจักได้รับการพัฒนาตามควรแก่วัยและมีความพร้อมที่จะก้าวไปสู่การศึกษาในระบบโรงเรียนต่อไป                            
ตัวอย่างศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียน



ประวัติ

         ทางสำนักอนามัยได้จัดการอบรมอาสาสมัครสาธารณสุข(อสส)ขึ้นภายในชุมชนวัดอมรทายิการาม
หลังจากนั้นได้สำรวจปัญหาในชุมชนจึงพบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมี 2 ประการคือ ปัญหาเรื่องยาเสพติด และปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพเด็ก กลุ่ม อสส จึงได้ตัดสินใจแก้ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพเด็กโดยจัดตั้ง
“ศูนย์รับเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษา” ขึ้นในปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นชื่อ “ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษา” โดยขอความอนุเคราะห์จากเจ้าอาวาส วัดอมรทายิการาม (พระครูวิบูลธรรมภาณ) ในเรื่องสถานที่ เริ่มแรกท่านให้ใช้กุฏิเก่า เกิดการชำรุดไม่สามารถซ่อมแซมได้ จึงได้สร้างให้เป็นเรือนชั้นเดียว เมื่อเด็กมากขึ้นไม่สามารถรับจำนวนเด็กที่เพิ่มมาขึ้นได้ จึงได้หาทุนร่วมกับผู้ปกครองและทางเขตบางกอกน้อยได้ก่อสร้างอาคาร 2 ชั้น รูปตัว L ขึ้นจนถึงปัจจุบัน เปิดเป็นทางการ 11 ตุลาคม 2527

          สถาบันพัฒนาเด็กปฐมวัยพิทักษาตั้งอยู่เขตบางกอกน้อย จังหวัดกรุงเทพฯ เริ่มจากเตรียมความพร้อม และการเรียนการสอนตั้งแต่อนุบาล 1 จนถึง อนุบาล 3 

สัญลักษณ์ประจำศูนย์          
                                                               "เด็กไทยผมจุก"

                        ปรัชญา                                   
"คิดอย่างสร้างสรรค์ ร่วมกันสร้างคุณธรรม เป็นผู้นำทางสังคม"

                 สีประจำศูนย์                          
                                                                  "ชมพู – แดง"

ต้นไม้ประจำโรงเรียน           
                                                                      "ต้นไทร"

ตารางกิจวัตรประจำวัน

08.00-08.30  รับเด็ก 
08.30-08.45  เคารพธงชาติ   สวดมนต์ 
08.45-09.00  ตรวจสุขภาพ  ไปห้องน้ำ 
09.00-09.20  กิจกรรมกลุ่มใหญ่ 
09.20-10.20  กิจกรรมสร้างสรรค์และกิจกรรมเสรี 
10.20-10.30  พัก (ดื่มนม ของว่างเช้า)
10.30-11.30  กิจกรรมกลางแจ้ง 
11.30-12.00 พัก (รับประทานอาหารกลางวัน)
12.00-14.00  นอนพักผ่อน      
14.00-14.20  เก็บที่นอน ล้างหน้า
14.20-14.30  พัก (รับประทานของว่างบ่าย) 
14.30-14.50  เกมการศึกษา (จันทร์ พุธ  ศุกร์)
                      กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ(อังคาร   พฤหัสบดี)
14.50-15.00  เตรียมตัวกลับบ้าน



กลุ่มที่ 6 ศูนย์เด็กเล็ก

ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก

             ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เป็นสถานศึกษาที่ให้การอบรมเลี้ยงดู จัดประสบการณ์และส่งเสริมพัฒนาการ การเรียนรู้ให้เด็กเล็กที่มีอายุตั้งแต่ 2 – 5 ปี ให้มีความพร้อม ด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญา ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตั้งกระจายอยู่ทั่วประเทศ ส่วนราชการต่าง ๆ ที่ดำเนินการจัดตั้งสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย ได้แก่ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย กรมการศาสนา กระทรวงศึกษาธิการ (ปัจจุบันอยู่ในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม) ดำเนินการในวัด/มัสยิด และสำนักงาน คณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (สปช.) ดำเนินการในโรงเรียน โดยเป็นศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ส่วนราชการต่าง ๆ ถ่ายโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดตั้งขึ้นเอง ถือว่าเป็นสถานศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 18 และมาตรา 4 ปัจจุบันทั่วประเทศมีอยู่ประมาณกว่า 19,000 แห่ง                                                                 

บทบาทหน้าที่ของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก  
             
             คือ การให้บริการ การอบรมเลี้ยงดู การจัดประสบการณ์และส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเป็นสถานศึกษาที่ให้การอบรมเลี้ยงดูจัดประสบการณ์และส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ให้เด็กเล็กได้รับการพัฒนา ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคม และสติปัญญาที่เหมาะสมตามวัยตามศักยภาพของเด็กแต่ละคน ดังนั้น ระยะเวลาการจัดการเรียนรู้และแนวทางการจัดการเรียนรู้ของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจึงต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเหมาะสมเพื่อให้เด็กเล็กได้รับการศึกษาและพัฒนาเป็นไปตามวัยแต่ละช่วงอายุ สอดคล้องกับสังคม วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ให้เด็กเล็กพร้อมที่จะเข้ารับการศึกษาในระดับที่สูงขึ้นต่อไป ตาม ระยะเวลาเรียนรู้ในรอบปีการศึกษาโดยให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเปิดภาคเรียนรวมกันแล้วไม่น้อยกว่า 230 วัน โดยมีการให้บริการต่าง ๆ ดังนี้
             
             1. การให้บริการส่งเสริมสนับสนุนเด็กเล็ก ได้แก่  อาหารกลางวัน  อาหารว่าง เครื่องนอนอาหารเสริม (นม) วัสดุ สื่อ อุปกรณ์การศึกษา และวัสดุครุภัณฑ์ การตรวจสุขภาพเด็กเล็กประจำปี โดยบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข  บริการอื่น ๆ ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความพร้อม เช่น เป็นศูนย์ 3 วัยและหรือศูนย์การเรียนรู้ชุมชน เป็นต้น

             2 การให้บริการอบรมเลี้ยงดู จัดประสบการณ์ และส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ให้เด็กเล็ก อายุ 2-5 ปี ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น หรือใกล้เคียงได้ตามศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

             3. จัดประสบการณ์ และส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ ให้เด็กเล็กมีการพัฒนาการครบทั้ง 4 ด้าน คือด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคม และสติปัญญา ให้เหมาะสมตามวัย ศักยภาพของเด็กแต่ละคน ตามมาตรฐานการดำเนินงานศูนย์พัฒนาเด็กเด็กเล็กขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ด้านวิชาการและกิจกรรมตามหลักสูตร

             4. กรณีจำเป็นต้องใช้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กเพื่อประชุม สัมมนา ฝึกอบรม จัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร หรือกิจกรรมอื่นใดที่เป็นประโยชน์ต่อราชการและชุมชน หรือเหตุจำเป็นอื่นที่ไม่อาจเปิดเรียนได้ตามปกติ ให้ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สั่งปิดศูนย์พัฒนาเด็กเล็กได้ไม่เกิน 15 วัน หากเป็นเหตุพิเศษที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัติสาธารณะ ให้ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สั่งปิดศูนย์พัฒนาเด็กเล็กได้ไม่เกิน 30 วัน โดยให้ทำคำสั่งปิดเป็นหนังสือ และต้องกำหนดการเรียนชดเชยให้ครบตามจำนวนวันที่สั่งปิด

             5. ในระหว่างปิดภาคเรียน หรือปิดศูนย์พัฒนาเด็กเล็กตามข้อ 1.4.5 ให้ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีคำสั่งให้หัวหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ครูผู้ดูแลเด็ก ผู้ช่วยครู ผู้ดูแลเด็ก หรือพนักงานจ้างอื่นในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมาปฏิบัติงานเกี่ยวกับการเตรียมการด้านวิชาการ หลักสูตร การจัดการเรียนรู้แก่เด็กเล็ก สื่อ นวัตกรรม วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ การจัดสภาพแวดล้อม หรือการพัฒนาศูนย์ในด้านต่าง ๆ หรืองานด้านการศึกษาปฐมวัยอื่น

การกำหนดอัตราบุคลากรในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 
             ให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมีหัวหน้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 1 อัตรา มีอัตราครูผู้ดูแลเด็กเป็นไปตามสัดส่วน (ครู:นักเรียน) 1:20 หากมีเศษตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไป ให้เพิ่มครูผู้ดูแลเด็กได้อีก 1 คน โดยจัดการศึกษาห้องละ 20 คน  สำหรับอัตราผู้ช่วยครูผู้ดูแลเด็ก และตำแหน่งอื่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณากำหนดให้มีได้ตามจำนวนที่เหมาะสมและสอดคล้องกับฐานะการคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ภารกิจในการพัฒนาเด็กปฐมวัยของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก

               การจัดการศึกษาระดับปฐมวัยเน้นที่การเตรียมความพร้อมให้กับเด็ก การให้ความรักความอบอุ่น ส่งเสริมพัฒนาการสำหรับเด็กอายุ 3-6 ปี ให้เกิดวุฒิภาวะทางกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา โดยให้โอกาสทั้งเด็กปกติ เด็กด้อยโอกาส และเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ให้ได้รับการพัฒนาเต็มตามศักยภาพ หลักสูตรการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยนั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เด็กมีพัฒนาการที่ครอบคลุม ด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และสติปัญญา ดังนี้ (กรมวิชาการ 2546)

1. ร่างกายเจริญเติบโตตามวัย และมีสุขนิสัยที่ดี
2. กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรงใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและประสาน สัมพันธ์กัน
3. มีสุขภาพจิตดีและมีความสุข
4. มีคุณธรรม จริยธรรมและมีจิตใจที่ดีงาม
5. ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี การเคลื่อนไหว รักการออกกำลังกาย
6. ช่วยเหลือตนเองได้เหมาะสมกับวัย
7. รักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมและความเป็นไทย
8. อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกของสังคมในระบอบประชาธิปไตยอันมี
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
9. ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย
10. มีความสามารถในการคิดและการแก้ปัญหาเหมาะสมกับวัย
11. มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
12. มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ และมีทักษะในการแสวงหาความรู้

ตัวอย่างศูนย์เด็กเล็ก

ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านป่าไร่

ชื่อศูนย์  ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กป่าไร่    สังกัด เทศบาลตำบลป่าไร่   อำเภออรัญประเทศ    จังหวัดสระแก้ว
สีประจำศูนย์   สีขาว - ส้ม
                         สีขาว   หมายถึง  ความบริสุทธิ์
                         สีส้ม     หมายถึง  ความอ่อนโยน สดใสร่าเริง
                         สีขาว-ส้ม    หมายถึง   ความบริสุทธิ์ สดใส และความร่าเริงของเด็ก

ปรัชญา
            เล่นให้มีความสุข     สนุกให้มีความรู้      สู่อนาคตที่สดใส

คำขวัญ
            คิดดี   ทำดี    เป็นคนดีของสังคม

วิสัยทัศน์
             ส่งเสริมความพร้อม       นอบน้อมถ่อมตน
             จิตใจอ่อนโยน               สู่วัฒนธรรมอันดีงาม

วิสัยทัศน์การศึกษาปฐมวัย

             “เด็กปฐมวัยในท้องถิ่นทุกคน ได้รับการพัฒนาเต็มตามศักยภาพ มีความพร้อมด้านร่างกาย ด้านอารมณ์และจิตใจ ด้านสังคม เรียนรู้อย่างมีความสุข เติบโตอย่างมีคุณภาพ”

ภารกิจการจัดการศึกษาปฐมวัย

        1. จัดกิจกรรมส่งเสริม สุขภาพกาย และสุขภาพจิต
        2. จัดกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และการอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
        3. จัดกิจกรรมส่งเสริมรักการอ่าน และการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน
        4. จัดกิจกรรมเสริมสร้างสำนึกในการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ และประเพณี วัฒนธรรมท้องถิ่น
        5. จัดกิจกรรมเสริมสร้างทักษะกระบวนการคิด การแก้ปัญหา และการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวัน
        6. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนอย่างหลากหลายโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
        7. จัดบรรยากาศ และสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้
        8. พัฒนาครูและบุคลากรที่จัดการศึกษาปฐมวัย
        9. พัฒนาสื่อ/แหล่งเรียนรู้ให้เหมาะสม ปลอดภัย และส่งเสริมพัฒนาการของผู้เรียน
      10. พัฒนาระบบการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพโดยชุมชน และผู้ปกครองมีส่วนร่วม
      11. ส่งเสริม สิทธิโอกาสทางการศึกษาในครอบคลุมผู้เรียน ทุกประเภท

ปรัชญาการศึกษาปฐมวัย

          การศึกษาปฐมวัยเป็นการพัฒนาเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง ๕ ปี  บนพื้นฐานการอบรมเลี้ยงดูและการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สนองต่อธรรมชาติและพัฒนาการของเด็กแต่ละคน ตามศักยภาพ ภายใต้บริบทสังคม-วัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่ ด้วยความรักความเอื้ออาทร และความเข้าใจของทุกคนเพื่อสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตให้เด็กพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์  เกิดคุณค่าต่อตนเอง และสังคม

หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย

           หลักสูตรการศึกษาปมวัย (ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก) เป็นการจัดการศึกษา โดยดำเนินการในลักษณะของการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษา เด็กจะได้รับการพัฒนาทั้งด้านร่างกาย ด้านอารมณ์และจิตใจ ด้านสังคมและด้านสติปัญญา ตามวัยและความสามารถของแต่ละบุคคล

จุดหมาย
           หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย(ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก) มุ่งหมายให้เด็กมีพัฒนาการด้านร่างกาย ด้านอารมณ์และจิตใจ ด้านสังคม และด้านสติปัญญา ที่เหมาะสมกับวัย ความสามารถและความแตกต่างระหว่างบุคคลจึงกำหนดจุดหมายซึ่งถือเป็นมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ดังนี้
            1. ร่างกายเจริญเติบโต โตตามวัยและมีสุขนิสัยที่ดี
            2. กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรง ใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและประสานสัมพันธ์กัน
            3. มีสุขภาพจิตดี และมีความสุข
            4. มีคุณธรรม จริยธรรม และมีจิตใจที่ดีงาม
            5. ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี การเคลื่อนไหว และรักการออกกำลังกาย
            6. ช่วยเหลือตนเองได้อย่างเหมาะสมกับวัย
            7. รักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และความเป็นมา
            8. อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข และปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
            9. ใช้ภาษาสื่อสารได้อย่างเหมาะสม
          10. มีความสามารถในการคิดและแก้ปัญหาได้เหมาะสมกับวัย
          11. มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
          12. มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้และมีทักษะในการแสวงหาความรู้

หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย

            1. เด็กทุกคนมีความพร้อม กล้าแสดงออก และพัฒนาการทุกด้านเหมาะสมกับวัย
            2. เด็กทุกคนมีนิสัยใฝ่รู้ ใฝ่เรียน รักการอ่าน  และแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง
            3. เด็กทุกคนมีร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพจิตดี
            4. เด็กทุกคนมีความรับผิดชอบ มีระเบียบวินัย มีความซื่อสัตย์ ประหยัด และอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
            5. เด็กทุกคนมีทักษะกระบวนการคิด การแก้ปัญหา และช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวันได้เหมาะสมกับวัย
            6. เด็กทุกคนได้รับการปลูกฝังให้มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
            7. เด็กทุกคนมีมารยาท และปฏิบัติตนตามขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมไทย
            8. เด็กทุกคนมีทักษะในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน

หลักการจัดการศึกษาปฐมวัย

             เด็กทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการอบรมเลี้ยงดูและส่งเสริมพัฒนาการ ตลอดจนการเรียนรู้อย่างเหมาะสม ด้วยปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็กกับพ่อแม่ เด็กกับผู้เลี้ยงดูหรือบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาเด็กปฐมวัย เพื่อให้เด็กมีโอกาสพัฒนาตนเองตามลำดับขั้นของพัฒนาการทุกด้านอย่างสมดุลและเต็มศักยภาพ โดยกำหนดหลักการ ดังนี้
             1. ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการที่ครอบคลุมเด็กปฐมวัยทุกประเภท
             2. ยึดหลักการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาที่เน้นเด็กเป็นสำคัญ โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล และวิถีชีวิตของเด็กตามบริบทของชุมชน สังคม และวัฒนธรรมไทย
             3. พัฒนาเด็กโดยองค์รวมผ่านการเล่นและกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัย
             4. จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้สามารถดำรงชีวิตประจำวันได้อย่างมีคุณภาพ  และมีความสุข
             5. ประสานความร่วมมือระหว่างครอบครัว ชุมชน และสถานศึกษาในการพัฒนาเด็ก



กลุ่มที่ 7  โรงเรียนเตรียมประถม




ชั้นเตรียมประถมคืออะไร
               ชั้นเตรียมประถม ซึ่งเป็นชั้นที่อยู่ระหว่างโรงเรียนอนุบาลกับโรงเรียนประถม ตลอดระยะเวลาเรียนของเด็ก ซึ่งอาจจะเริ่มตั้งแต่ตอนที่เด็กอายุครบ ๑ ขวบ ไปจนถึงจบชั้นมัธยมปลาย จะถูกกำหนด โดยหลักสูตรการศึกษา ซึ่งโรงเรียนอนุบาล โรงเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐาน และโรงเรียนมัธยมปลาย ต่างก็มีหลักสูตรการศึกษาของตัวเองโดยเฉพาะ โดยชั้นเตรียมประถมจะใช้หลักสูตรการศึกษาเดียวกับโรงเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่ง เมืองความรู้แห่งเฮลซิงบอร์ย มองสิ่งนั้นว่าเป็นการติดตามพัฒนาการตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่ 
                ชั้นเตรียมประถมจะเป็นการศึกษาโดยสมัครใจ แต่เด็กที่มีอายุหกปีในสวีเดนส่วนมาก จะเข้าเรียนในชั้นนี้ เทศบาลจะมีหน้าที่ในการเปิดรับ และจัดการเรียนการสอนในชั้นเตรียมประถมให้แก่เด็ก 

ใครมีสิทธิ์เข้าเรียนได้บ้าง
                เด็ก ๆ มีสิทธิ์เข้าเรียนชั้นเตรียมประถมเมื่ออายุ 6 ปี ซึ่งเปิดรับเข้าเรียนตามความสมัครใจ และเด็กส่วนมากจะเข้าเรียนในชั้นนี้ เด็กมีสิทธิ์เลือกได้ว่าจะเรียนชั้นเตรียมประถมในโรงเรียนอนุบาลเดิม หรือสถานอบรมดูแลเด็กสำหรับกลุ่มอายุ 6 ปี
                เด็กทุกคนมีสิทธิ์เข้าเรียนในชั้นเตรียมประถม แต่กฎหมายไม่ได้บังคับว่าต้องเรียนชั้นนี้
โดยส่วนใหญ่ชั้นเตรียมประถม จะจัดอยู่ในหรืออยู่ใกล้กับโรงเรียน ที่นักเรียนจะเข้ารับการศึกษาขั้นพื้นฐานในชั้นปีที่ 1

ชั้นเตรียมประถมมีลักษณะเป็นอย่างไร

               ชั้นเตรียมประถม เป็นการศึกษาเชื่อมต่อจากชั้นอนุบาลไปสู่การศึกษาภาคบังคับหรือขั้นพื้นฐาน โดยจะผสมผสานรูปแบบการดำเนินงานและวิธีการ ระหว่างโรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนขั้นพื้นฐานเข้าด้วยกัน
  • จุดประสงค์ของชั้นเตรียมประถม คือ เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนมีพัฒนาการและการเรียนรู้ และเตรียมพร้อมสำหรับการศึกษาในอนาคต รวมถึงส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการที่กลมกลืน การเล่น และความคิดสร้างสรรค์ รวมกันเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของกิจกรรมการเรียนการสอน การศึกษานี้ควรจะยึดมุมมององค์รวมและความจำเป็นของนักเรียนเป็นหลัก
  • กิจกรรมการเรียนการสอนจะใช้เวลาวันละประมาณสามชั่วโมง ช่วงที่เหลือนักเรียนส่วนใหญ่จะเข้าศูนย์นันทนาการ หรือสถานรับอบรมดูแลเด็ก
  • เทศบาลมีหน้าที่ จัดการเรียนการสอนชั้นเตรียมประถม และรับนักเรียนเข้าเรียนในชั้นนี้ ชั้นเตรียมประถมที่ดำเนินการโดยโรงเรียนเอกชน จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แทนชั้นเตรียมประถมในสังกัดเทศบาล
  • ชั้นเตรียมประถม จะเปิดให้เข้าเรียนโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ
  • ในชั้นเตรียมประถมเราไม่ได้คาดหวังว่านักเรียนต้องผ่านเกณฑ์ความรู้ในวิชาต่างๆ  แม้ว่าเราจะเริ่มฝึกฝนเรื่องต่างๆ ทีละ น้อย แต่ในชั้นนี้นักเรียนไม่จำเป็นต้องอ่านได้ เขียนได้ หรือนับเลขได้  เรารู้ดีว่าเมื่อถึงเวลาเด็กก็จะเป็นเอง เพราะในวัยนี้ เด็กกำลังอยากรู้อยากเห็น และอยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่แล้ว
ในชั้นเตรียมประถม เขาทำอะไรกันบ้าง

  1. ชั้นเตรียมประถมต้องปฏิบัติตามหลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐาน  ทั้งนี้ความอยากรู้อยากเห็น และความสนใจของเด็กจะเป็นตัวกำหนดการดำเนินงานด้านการศึกษาของเรา ซึ่งเด็กจะได้เรียนรู้ที่จะแสดงความคิด พัฒนาความเชื่อถือในความสามารถของตนเองในการแก้ปัญหาต่างๆ ฝึกการร่วมมือกับผู้อื่น ตลอดจนฝึกฝนในเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย 
  2. ในชั้นเตรียมประถมเราจะทำแบบฝึกหัดง่ายๆ สลับกับการพัก และการเล่นตามอัธยาศัย เด็กๆ จะทานอาหารกลางวันที่โรงเรียนและเลิก เรียนประมาณ 12.00 น. หลังจากนั้นคุณมีโอกาสที่จะเลือกให้ลูกของคุณอยู่ต่อที่ศูนย์นันทนาการหลังเลิกเรียนได้ โดยศูนย์ นันทนาการจะจัดกิจกรรมทางการศึกษาและเป็นส่วนเสริมของโรงเรียน ที่เปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เล่น และทำกิจกรรมทางสังคมร่วมกับคนอื่นๆ 
ชั้นเตรียมประถมอยู่ภายใต้ข้อบังคับใด

  •  หลักสูตรการศึกษากิจกรรมการเรียนการสอนในชั้นเตรียมประถม จะใช้หลักสูตรการศึกษาเดียวกับโรงเรียนขั้นพื้นฐาน และศูนย์นันทนาการ สองส่วนแรก - ค่านิยมหลักและภารกิจของโรงเรียน รวมถึงเป้าหมายโดยรวม และแนวทางการศึกษา ซึ่งจะครอบคลุมชั้นเตรียมประถมและศูนย์นันทนาการด้วย สำหรับชั้นเตรียมประถม ที่จัดโดยโรงเรียนการศึกษาเฉพาะ จะมีหลักสูตรการศึกษาเฉพาะกำกับ
  • กฎหมายว่าด้วยการศึกษา กฎหมายว่าด้วยการศึกษา ประกอบด้วย บทบัญญัติหลักเกี่ยวกับการศึกษาชั้นเตรียมประถม และการศึกษาประเภทอื่น รวมถึงศูนย์นันทนาการ และการรับอบรมดูแลเด็ก
ศูนย์นันทนาการคืออะไร

                  ศูนย์นันทนาการเป็นกิจกรรมเสริมการศึกษาและเปิดให้บริการตลอดปีศูนย์นันทนาการจะช่วยให้นักเรียนมีสภาวะการเจริญเติบโตที่เหมาะสมด้วยการส่งเสริมและกระตุ้นพัฒนาการและการเรียนรู้ของนักเรียนโดยส่วนหนึ่งและอีกส่วนหนึ่งจะช่วยให้ผู้ปกครองทำงานควบคู่กับการเป็นพ่อแม่ได้
ศูนย์นันทนาการเป็นกิจกรรมทางด้านการศึกษาแบบกลุ่มสำหรับนักเรียนอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไปจนถึงจนเทอมฤดูใบไม้ผลิในปีที่นักเรียนมีอายุครบ 13 ปีศูนย์นันทนาการมีหน้าที่ส่งเสริมการศึกษาและเปิดให้นักเรียนใช้เวลาว่างและนันทนาการอย่างมีประโยชน์ในขณะเดียวกันศูนย์นันทนาการจะต้องดำเนินงานอย่างระบบเพื่อทำให้ผู้ปกครองสามารถทำงานหรือเรียน

ศูนย์นันทนาการช่วยส่งเสริมการศึกษาสองด้านดังนี้
  • ด้านเวลาโดยรับนักเรียนในช่วงที่ไม่มีการเรียนการสอนและช่วงโรงเรียนหยุด
  • ด้านเนื้อหาโดยให้นักเรียนได้รับประสบการณ์และความรู้นอกเหนือจากการเรียนรู้ปกติในห้องเรียนโรงเรียนและศูนย์นันทนาการควรร่วมมือกันช่วยส่งเสริมนักเรียนให้มีพัฒนาการและการเรียนรู้รอบด้านการศึกษาของศูนย์นันทนาการจะต้องทำให้นักเรียนรู้สึกสนุกที่จะเรียนรู้โดยควรยึดความสนใจและประสบการณ์ของนักเรียนเป็นหลักและปรับให้เหมาะสมตามพื้นฐานที่แตกต่างกันของนักเรียนแต่ละคน
หนังสือหรับหรับชั้นเตรียมประถม





ตัวอย่างโรงเรียนที่มีการเรียนการสอนในระดับชั้นเตรียมประถม

โรงเรียนดรุณพัฒน์
 ถ.ประชานิเวศน์ 1 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพ 10900 


แนวทางการสอนระดับเตรียมประถม และประถมศึกษา

1. นักเรียนมีเวลาเรียนเฉลี่ยวันละ 6 ช.ม. นักเรียน G.1 – G.3 สอนโดยครูประจำชั้นชาวต่างประเทศ    ทุกสาระ ยกเว้น วิชาศิลปะ ภาษาไทย สังคมศึกษา สอนโดยครูประจำชั้นคนไทยและเน้นกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติและการบูรณาการ
2. นักเรียนทุกคนได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน 8 กลุ่มสาระ สอนเป็นภาษาอังกฤษ 70 %โดยประมาณและภาษาไทย 30% โดยประมาณ และเน้นภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารเป็นสำคัญ
3. นักเรียนสามารถเลือกเรียนวิชาที่ตอบสนองความสามารถตามความถนัดและความสนใจในคาบเรียนที่ 7 และ 8 Club พร้อมด้วยการเสริมภาษาจีนสัปดาห์ละ 1 คาบ
4. นักเรียนเข้าร่วมและปฏิบัติกิจกรรมที่เหมาะสมร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข
5. เมื่อเรียนจบแต่ละช่วงชั้น นักเรียนมีคุณภาพด้านความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม ตามมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น และสอบ NT เมื่อจบช่วงชั้นที่1



กลุ่มที่ 8 สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย



ความหมายของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย

           สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย หรือ โรงเรียนเด็กเล็ก เปิดขึ้นเพื่อรับเด็กอายุโดยประมาณ 1ขวบครึ่ง ถึง 3 ขวบ ทำหน้าที่ในการดูแล ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกาย จิตใจ สังคมและภาษา  ช่วงเวลาเปิดเรียนอาจเป็นเรียนเต็มวันหรือครึ่งวัน แล้วแต่ความต้องการของผู้ปกครองหรือชุมชน
            สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยดำเนินการโดย รัฐบาล และหน่วยงานเอกชนที่มีอยู่หลายรูปแบบมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป เช่น 
-สถานรับเลี้ยงเด็ก
-ศูนย์โภชนาการ 
-ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 
-โรงเรียนอนุบาล

หน่วยงานที่จัดคือ 
  • กรมพัฒนาชุมชน 
  • กรมอนามัย 
  • กรมอาชีวศึกษา 
  • สมาคมมูลนิธิต่าง ๆ 
  • กรมประชาสงเคราะห์ ซึ่งปัจจุบัน คือ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ
ตามประกาศของคณะปฏิวัติ
           ฉบับที่ 294 ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2515 ได้ให้ความหมายของคำว่า           สถานรับเลี้ยงเด็ก หมายถึง สถานที่รับเลี้ยงเด็กซึ่งมีอายุไม่เกิน 7 ปีบริบูรณ์ และมีจำนวนเกิน 5 คน ซึ่งไม่เกี่ยวข้องเป็นญาติกับผู้เลี้ยง แต่ไม่รวมถึงสถานพยาบาล หรือโรงเรียนอนุบาล

ลักษณะของสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย

1. แยกอิสระ          
             เป็นบริการตามบ้าน หรือสถานที่ราชการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นบริการแก่ชุมชน เช่น บ้าน วัด โรงพยาบาล วิทยาลัยพยาบาล โรงงาน เป็นต้น โรงเรียนเด็กเล็กประเภทนี้จะใช้ชื่อต่าง ๆ กัน เช่น ศูนย์ดูแลเด็กเล็ก ศูนย์พัฒนาเด็ก เป็นต้น
2. ขึ้นอยู่กับโรงเรียนอนุบาล 
             มักจะเรียกว่า ชั้นเด็กเล็ก (Nursery Class) บางแห่งเรียกเตรียมอนุบาลโรงเรียนเด็กกลุ่มนี้รวมถึงโรงเรียนเด็กเล็กของมหาวิทยาลัยด้วย
3. ขึ้นอยู่กับโรงเรียนประถมศึกษา 
             โรงเรียนประถมศึกษาบางแห่งจะจัดการศึกษา ทุกระดับตั้งแต่ชั้นเด็กเล็ก ชั้นอนุบาลและชั้นประถมศึกษา ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเบ็ดเสร็จสำหรับการศึกษาปฐมวัย

ตัวอย่างสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย




ศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย คณะพยาบาลศาสตร์ 
มหาวิยาลัยธรรมศาสตร์  ศูนย์รังสิต


ประวัติความเป็นมาของศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย         
                
              เด็กเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าสูงสุดของประเทศ  การเลี้ยงดูเด็กให้เจริญเติบโตและมีพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกาย  จิตใจ อารมณ์  สังคม  และจิตวิญญาณที่สมบูรณ์เป็นสิ่งสำคัญ  ที่ผู้เลี้ยงดูเด็กทุกคนจะต้องมีความรู้  ความเข้าใจ  และตระหนักถึงความสำคัญนี้  ประกอบกับในสังคมปัจจุบัน  บิดา มารดาต้องช่วยกันรับผิดชอบในการหารายได้เพื่อความมั่นคงของครอบครัว  ทำให้ภาระหน้าที่ในการเลี้ยงดูอยู่กับคนอื่น  คณะพยาบาลศาสตร์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ได้ตระหนักถึงความจำเป็นในการจัดการศึกษาการเจริญเติบโต  และพัฒนาการ  การบริบาลเด็กปฐมวัยที่มีคุณภาพดีและการให้บริการวิชาการแก่สังคม  ในการช่วยเหลือบิดา มารดา  ท่านผู้ปกครองที่จะดูแลเด็กอย่างมีคุณภาพ  โดยเฉพาะเด็กตั้งแต่อายุ  6  สัปดาห์  ถึง  3  ปี  ซึ่งเป็นวัยที่การเจริญเติบโตและพัฒนาการอย่างรวดเร็วเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต  จึงได้จัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัยขึ้นเมื่อวันที่ 2  สิงหาคม  พ.ศ.  2542 เป็นต้นมา

วิสัยทัศน์      
              เป็นศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัยต้นแบบ ให้บริการที่เป็นเลิศด้วยความรู้
คู่คุณธรรมบูรณาการนวัตกรรมสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมนำการวิจัยสู่การพัฒนา พันธกิจ 1. บริการที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน 2. พัฒนาบุคลากรให้มีความรู้  ความสามารถ คุณธรรม  จริยธรรม  และทักษะที่จำเป็นในการดูแลเด็ก 3. พัฒนาคู่มือ  หลักสูตรและโครงการสร้างการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ 4. เป็นศูนย์กลางการศึกษา  การวิจัย  และการบริการวิชาการแก่สังคม  ในการสร้างเสริมสุขภาพเด็กปฐมวัย 5. บูรณาการวิจัยและนวัตกรรมสู่การปฏิบัติการและพัฒนาการเรียนการสอน 6. สร้างระบบการประกันคุณภาพ  การปรับปรุงคุณภาพ  และระบบการจัดการภายใน  โดยมีการพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง จัดสภาพแวดล้อม  สร้างความแข็งแกร่งของครอบครัว  เพื่อช่วยให้เด็กเกิดการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ

สถานที่ตั้ง                
               
               อาคารศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัยตั้งอยู่บนถนนยูงทอง เป็นอาคารชั้นเดียว อยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนประถมศึกษาธรรมศาสตร์ ในบริเวณ ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ตำบลคลองหนึ่ง  อำเภอคลองหลวง  จังหวัดปทุมธานี  12120  โทรศัพท์  0-2564-4440-79  ต่อ 1095-1096  โทรสาร ต่อ 1095

การให้บริการของศูนย์ฯ       

               - การประเมินภาวะสุขภาพ        
               - การดูแลด้านโภชนาการ         
               - การสร้างสุขนิสัย        
               - การดูแลเมื่อเจ็บป่วย       
               - กิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการ 
               - การให้บริการวิชาการ 
               - โครงการคลังสมองของพ่อแม่ ให้บริการยืม-คืน หนังสือ นิตยสาร หนังสือนิทาน
               - ให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ   ปัญหาพฤติกรรมเด็กโดยคณาจารย์พยาบาลสาขาเด็กตามเวลาปกติ
               - รับดูแลเด็กรายวัน
               - รับดูแลเด็กโครงการภาคฤดูร้อน
               - จัดทำจดหมายสัมพันธ์ถึงผู้ปกครองเดือนละฉบับ  รายละเอียดที่แจ้งเช่น   ตารางกิจกรรมประจำเดือน   เมนูอาหารประจำเดือน สาระเกี่ยวกับเด็ก ๆ   มุมนิทาน    เพลง    ศิลปะสำหรับเด็ก


Skill (ทักษะ)

- การคิดวิเคราะห์
- การตอบคำถาม


Application  (การประยุกต์ใช้)
               
          นำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับการเรียนการสอน และการเป็นครูที่ดีในอนาคต เพื่อจัดการศึกษาให้เด็กตามบริบทของสังคมที่เด็กอยู่ให้เด็กเกิดการเรียนรู้ตามศักยภาพของเด็ก


Technical Education (เทคนิคการสอน)

- เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
- ใช้คำถามในการกระตุ้นผู้เรียน
- เทคนิคการใช้คำถาม
- เสริมความรู้จากที่เพื่อนนำเสนอ


Evaluation (การประเมิน)  

Self: เข้าเรียนตรงต่อเวลา แต่งกายเรียบร้อย ตั้งใจเรียน แต่มีบางครั้งที่ง่วงนอน
Friend : ตั้งใจเรียน ช่วยกันตอบคำถาม แต่เพื่อนบางคนคุยกันเสียงดัง
Teacher : เข้าสอนตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อย เวลาสอนก็จะสอนแบบละเอียด คอยกระตุ้นให้นักศึกษากระตือรือล้นในการเรียน และใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวล สูง ต่ำ ตามจังหวะของการสอน แต่น่าจะกิจกรรมให้ทำระหว่างการเรียนการสอนเพื่อให้นักศึกษาตื่นตัวกับการเรียนมากยิ่งขึ้น